ฤดูแจกเสื้อกันหนาว

วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

เรื่อง  :  ฤดูแจกเสื้อ(กัน)หนาว

แรงบันดาลใจ  :   จากคำที่ผู้อ่านข่าวมักให้เสพข่าวว่าชาวบ้านร้านช่องในที่ต่างๆ ขาดแคลนเสื้อกันหนาว โดยการนั่งพิงกองไฟ                ทุกๆปีของเดือนนี้ ปลายฝนต้นหนาว ก็ประมาณเดือนปลายตุลาคม ขึ้นพฤศจิกายน ก็จะมีความกดอากาศต่ำพัดจากที่โน้นที่นี่มาทำให้อากาศในประเทศไทยตอนบน หรือในที่อื่นๆตามร่องอากาศได้รู้สึกเย็นๆหรือเรียกว่าหนาวนั้นแหละ แต่จะหนาวหรือเย็นกี่วันกันเชียว บางปีดีหน่อยก็แค่กำลังสบาย บางปีน้ำเยอะลมหนาวจะเย็นหนาวเหน็บ ต้องใส่เสื้อกันหนาวกันเลยก็มี แต่หลายๆปีมานี้ไม่เคยได้สวมใส่เสื้อทุเลาความหนาวกันเลย สองสามปีเห็นจะได้ละ แต่ปีนี้พอสิ้นวันออกทุกข์ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ก็รู้สึกว่าอากาศเย็นแฮะ และแล้วความเย็นก็มาเยือนหลังจากหลายๆที่ได้มีน้ำท่วมขังมาเป็นอาทิตย์หรือบางที่แรมเดือนเข้าไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรนะเรือพายพลาสติกตั้งแต่ปีก่อนยังใช้ได้ดี ก็เมื่อท่วมใหญ่ปีก่อนๆโน้นหัดพายยังไม่ชำนาญเท่าไรซ้อมใหญ่อีกทีจะได้พายคล่องๆอีกในปีนี้  ไม่ได้ว่า ไม่กล่าวโทษใคร? ธรรมชาติหนึ่ง มนุษย์ร่วมกันทำลายความสมดุลทางนิเวศน์อีกหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้รวมๆกันเปลี่ยนแปรสภาพดิน ฟ้า อากาศ เสียเกินคาดเดาหรือหยั่งรู้ได้ว่าจะเกิดน้ำท่วม ฝนมาก พายุมา ลมแรง ฝนขาด รู้ได้หมดแต่ไม่สามารถเอาชนะได้ จะชนะบ้างก็เป็นครั้งคราวแล้วก็จมลงสู่กระแสแห่งความวิบัติ ทั่วโทกโดนกันถ้วนหน้า บ้างก็แล้ง บ้างก็ฝน พายุโหมกระหน่ำฟ้าผ่าเป็นแสนๆครั้ง อย่างหน้าแปลกใจกับ ดิน ฟ้า อากาศ ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนมีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถรู้ได้ล่วงหน้ากัน รู้แต่ก็ต้องโดนกับปรากฏการณ์เหล่านั้นไม่มากก็น้อย แต่ความเปลี่ยนที่จะเอ่ยถึงที่ไม่เปลี่ยนทุกปีในฤดูกาลนี้ก็คือการอ่านข่าวอย่างไม่สร้างสรร ว่าชาวบ้านยากจนต้องก่อกองไฟผิงไฟแก้หนาว หรือยากจนไม่มีเครื่องนุ่งห่มกันหนาว จึงต้องก่อกองไฟแก้หนาว แล้วก็ถึงขั้นตอนการตั้งงบจัดซื้อ เสื้อคือเสื้อ จะหนาจะบางช่างหัวมัน ผ้าผวยผ้าห่มก็เช่นกันบางยังกะผ้าอาบน้ำฝนที่ถวายพระตอนเข้าพรรษาเลย จัดงบตั้งยอดเบิก ตามจำนวนต่อตัวต่อผืน+ความฉลาดของเจ้าหน้าที่อยากได้ต่อส่วนต่างบางก็บางแต่จ่ายเต็มราคาหลวงจัดหา แล้วก็มีละครจัดแจกเสื้อกันหนาว ผ้าห่ม ผ้าผวย ผ้านวม สารพัดผ้าที่หาได้ไปแจก ถ่ายรูปเป็นหลักฐานแห่งการดูแลประชาชนในท้องถิ่น จะทุรกันดารหรือไม่กันดารก็ไม่รู้ละ ว่าทำดีเอาใจใส่ บางก็บ่นไม่ได้เพราะจะใช้คลุมหัวคลุมตัวก็วันถ่ายรูปรับแจกผ้าที่เอามาแจกเป็นใบเบิกทางหากินเท่านั้น และก็เป็นอย่างนี้มาทุกปีที่อากาศหนาวมาเยือน เคยรู้บ้างมั๊ยว่าชาวบ้านที่อยู่ในชนบทเหล่านั้นเค้ารู้จักเอาตัวรอดได้กะอีกแค่หนาวขา จะมีตายบ้างก็อาจจะไม่ระมัดระวัง พี่กินแต่ยอดข้าวมากเกินขนาดนอนตากลมหนาวเปลี่ยวดำจับตายก็มี ซึ่งก็มีมาแต่โบราณบานบุรี ก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร แต่ข่าวที่ออกไปชาวบ้านยากจนไม่มีเครื่องนุ่มห่ม ก็ทางจังหวัดเอย หน่วยงานโน้น หน่วยงานนี้ แจกผ้าห่ม ถุงยังชีพ ลูกอม ยาดม ยาหม่อง ทุกๆปี ไอ้ของที่ใช้หมดแล้วทิ้งก็อย่าง แต่เครื่องนุ่งห่มกันหนาวไม่ได้ใช้แล้วทิ้งนี่นา ทำไมมันถึงขาดถึงไม่มีซะทุกปี ถ่ายรูปวันชาวบ้านผู้อยากจนไปรับเครื่องนุ่งห่มกันหนาว พร้อมถุงยังชีพ ถ้าหน้าใหญ่หน่อยก็ได้ของดีหน่อย ถ้าคนจัดหาหรือหน่วยจัดหาไม่อม ซื้อร้อยได้ของห้าสิบ สักแต่ว่ารูปร่างเป็นผ้าห่ม ผ้าผวย ถุงยังชีพ ก็เท่านั้นเอาไปใช้ก็ไม่ได้ดีสักเท่าไรเพราะถูกตอนราคาไปแล้ว และยังเสือกมาแจกถ่ายรูปเอาความดีความชอบกันอีกทุกปีทุกที่ได้ซิน่า ผ่านไปไม่นานผ้าห่มผ้าผวยบางๆเหล่านั้นก็จะกลายเป็นผ้าเช็ดตีนก่อนเข้าบ้าน หรืออยู่หน้าห้องนอนห้องน้ำเท่านั้นเอง  แต่เมื่อมีอากาศเย็นหนาวมาเยือน เมื่อสมัยเป็นเด็กน้อยในสมัยก่อนก็มักจะมีกิจกรรมเกิดขึ้นข้างกองไฟทุกๆปีเช่นกัน ลมหนาวลมว่าวพัดมาเล่นว่าวกันแมะ ว่าวแม่งเป็นจังได๋ ซักบ่ขึ้นจักเทื่อ รึเจ้าของมันเฒ่า เอาเอาว่าวอารายของมึง ก็ว่าวมันไม่ได้สัดส่วนหนักหัว หนักหาง พู่ปีกซ้ายขวาหนักไม่เท่ากันเอียงหมุน ผูกซุงไม่เป็น กินหน้ากินหลัง ทำให้หัวเบาร่อนไม่กินลม ตูดหนักอยากขึ้นแต่หนักหางได้แต่ส่ายตูดไม่เชิดขึ้นสักที แก้กินหน้านิดก็หัวผงาดขึ้นแล้วบักหำ โอ๊ยวิ่งวาวกะพวกเอ็งจนข้าเหนื่อยไปด้วยแล้ว ว่าวที่มีเสียงดังด้วยคันธนูที่หัว จั่กไม่รู่ว่าเอิ่นอะหยัง แล่วแต่ถิ่นใครบ้านมันเถาะ ซิว่าจะเรียกว่าวอะหยัง? เสียงมันดังแฮงยามค่ำคืน ดุ่ย ดุ่ย ดุ๊ยดุ่ย เสียงออเซาะบ้าง ทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ขู่บ้าง ฟังแล้วนอนไม่หลับทั้งคืน ก็พวกเอาขึ้นตอนบ่ายแก่ๆ ปล่อยสายให้สูงติดลมบน แล้วก็ผูกกับหลักหรือต้นไม้ไว้ที่นา ถ้าเป็นเมื่อสามสิบปีที่แล้วก็พอทนบ้านมันห่างไม่ผูกใกล้บ้าน แต่สมัยนี้หลังคาบ้านแทนจะเกยกันเลย เสือกปล่อสายมาลอยอยู่เหนือบ้านกูแหม่มึงเอ่อย เล่าเอานอนไม่หลับพลิกซ้ายพลิกขวากวนคนนอนข้างๆทั้งคืน หนวกหูฉิบหายเสียงธนูว่าวบาดใจเนี่ย นอนไม่หลับหนาวเย็นมาลงมาก่อไฟ เอาสังกะสีล้อมกันลม ก่อไฟแล้วผิงไฟ่จะนั่งกะจุ๊กปุกก็กระไร หาของกินดิเฮ้ย คิงมีจิ้นวัวก็เอามาหมกคงจะรำเน้อ ฉวยเอาน้ำปล่ามาตวยพริกปนจักน๊อยจ๊าดรำ ได้กันมันยกร่องออกไปทางเหนือแล้วฮ่าฮ่า ฮาจะไปหานกหาหนูมาทำลาบ อีน๊อยไปหาหอมกระเทียมมาเน้อ ม่วนแต้ ม่วนว่า แต่ประเดียวนี้ก็คงจะบ่ต้องย่ะอะหยัง สั่งพิชซ่าจะรำกว่าเน้อ อุ๊ยแล้วความจำบ่ดี เอ อุ๊ยว่าเอ็งยืมเงินอุ้ยไปสามพันแต่ปีปายยังบ่ได่เอามาส่งคืนอุ๊ยเน้อ นึกได่ก็รีบเอามาคืนอุ๊ยเน้อ ขอสุมาเต๊อะ เงียบไปทั้งกองไฟ อู๊ยหนออุ๊ย มาทวงมาถ่ามต่อหน้าคนจะอี้ เฮอะมีแล้วจะเอาไปคืนหือเน้ออุ๊ยขี้งก อีกอย่างอร่อย มาก รำแต้รำว่า เป็นตาม่วนคักก็คือการเผาข้าวหลาม ข้าวสารใหม่มี มะพร้าวมีฉีกเปลือกตอกแล้วขูดมาทำกะทิใส่ให้ข้าวหลามหอมมัน อ้าวใส่น้ำตาลโตยเน้อ แค่ปะแล่มๆพอเน้อ อุ๊ยจะเป็นเบาหวาน เฮ้ยอีน๊อยนังดีๆไฟไหม้ซิน ตายังไวอยู่เนาะอุ๊ยเน๊าะ แอบพ้อละออนละก๋า หัวมันไว้ข้างกองไฟ ตะกี้ข้าใส่ไปฉองหัวมันหายไปไหนซะแล่ว บ่าวอก ฉกไปกิ๊นแล่ว มีนิทานหลอกละอ๊อน หลอกเด็กน้อย นิทานอะไรก็ไม่สนุกเท่าเล่าเรื่องผี ผีอะหยังหว่า ผีกระสือ ผีกระหัง เสือสมิง ลิงลม ผีถ้วยแก้ว ผีแม่หม้าย อุ๊ยเอ่ยขึ้น อุ๊ยบ่กลัวมันหรอก หื้อมันมาจริงจะมัดเอาทำเมียเลยเอ็ง หึหึ อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย ไผมายืนหลังอุ๊ยปากแดงแดง บ่อยู่โต๊ยละเน้อ เฮ้ย ทะลี่งตัวลุกขึ้นร้องอย่างดัง วงข้างกองไฟกระจายปล่อยให้อุ๊ยล้มกลิ้งใช้วิชาลิงลมปล้ำฟัดจับผีแม่หม้ายน้ำหมากกระจายอยู่ข้างราวข้าวหลามตรงนั้นเอง เอ้าใครว่างไปดูอุ๊ยคนปากกล้าที ผู้เรียบเรียงไม่กล้าไปเพราะก็กลัว

Share the Post:
Skip to content